หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
แนะนำอาเซียน
ข่าวต่างประเทศ
ความตกลง
APSC
AEC
ASCC
ASEAN PLUS
บทความ
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
ประชาคมสังคมและวัฒนธรรรมอาเซียน
บทความวิชาการ
งานวิจัย
กฎหมายน่ารู้
ติดต่อเรา
(TH) ศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรมีคำตัดสินต่อนิยามคำว่า “ผู้หญิง” หมายถึงเฉพาะหญิงในทางชีววิทยา โดยไม่รวมถึงบุคคลข้ามเพศ
ข่าวต่างประเทศ
30 Apr 2025
ภายหลังจากที่มีข้อพิพาทมาอย่างยาวนานระหว่างกลุ่มเฟมินิสต์และรัฐบาลสก็อตแลนด์ ศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรได้มีคำตัดสินว่า นิยามคำว่า “ผู้หญิง” ภายใต้กฎหมายความเท่าเทียม (Equality Act) นั้น หมายถึงบุคคลที่มีลักษณะเป็นเพศหญิงโดยกำเนิด โดยไม่รวมถึงกลุ่มคนข้ามเพศ โดยหญิงข้ามเพศจะถูกยกเว้นในบางเรื่องหรือพื้นที่เฉพาะสำหรับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น (Single-sex spaces) เช่น ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน พื้นที่สระว่ายน้ำ ตลอดจนการบริการทางการแพทย์หรือการให้คำปรึกษาที่จัดไว้เฉพาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น อย่างไรก็ดี ศาลไม่ได้กำจัดสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศแต่อย่างใดซึ่งยังคงได้รับการคุ้มครองจากการถูกเลือกปฏิบัติภายใต้กฎหมายดังกล่าว แต่สงวนความคุ้มครองไว้เฉพาะกับผู้หญิงที่เป็นเพศหญิงโดยกำเนิดเท่านั้น
ข้อพิพาทดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่รัฐสภาได้อนุมัติกฎหมายของสก็อตแลนด์ในช่วงปี ค.ศ. ๒๐๑๘ กำหนดว่า คณะกรรมการขององค์กรสาธารณะของสก็อตแลนด์ควรเป็นผู้หญิงในจำนวนร้อยละ ๕๐ โดยรวมถึงหญิงข้ามเพศที่มีใบรับรองการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender recognition certificate) ผู้พิพากษา Patrick Hodge ได้กล่าวว่า หากตีความคำว่า “เพศ” ให้หมายรวมถึง เพศตามใบรับรองนั้น จะก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อนิยามคำว่า “ชาย” และ “หญิง” ได้ และต้องปกป้องลักษณะทางเพศซึ่งอาจก่อให้เกิดการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกัน
กลุ่ม For Women Scotland (FWS) ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาล โดย Trina Budge ได้แสดงเหตุผลว่า นิยามคำว่า “ผู้หญิง” ที่ให้หมายความรวมถึงผู้ที่มีใบรับรองการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender recognition certificate) ซึ่งกำหนดโดยเจ้าหน้าที่รัฐของสก๊อตแลนด์นั้นถือเป็นการล่วงเกินอำนาจของรัฐสภา อาจทำให้คณะกรรมการสาธารณะประกอบด้วยผู้ชายร้อยละ ๕๐ และผู้ชายที่มีใบรับรองว่าเป็นหญิงอีกร้อยละ ๕๐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการมีตัวแทนผู้หญิงได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลได้ปฏิเสธเหตุผลดังกล่าวในปี ๒๐๒๒ อย่างไรก็ดี คดีดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ยื่นฎีกาในศาลฎีกาในปี ๒๐๒๔
ภายใต้กฎหมาย
Equality Act คำว่า “เพศ” ควรหมายถึงเฉพาะเพศโดยกำเนิดตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เพศของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กชายหรือเด็กหญิงนั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่การปฏิสนธิภายในครรภ์ซึ่งถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด อันเป็นการแสดงออกทางกายภาพของบุคคลและเป็นสภาพทางชีววิทยาที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ของร่างกายนั้น ๆ โดยเป็นข้อต่อสู้ของทนายความ Aidan O’Neill ผู้เป็นทนายความของกลุ่ม FWS
อีกทั้ง
J.K. Rolling ผู้แต่งหนังสือ Harry Potter ที่สนับสนุนการทำงานของกลุ่มดังกล่าวจากการบริจาคเงินหลายหมื่นปอนด์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า สิทธิของผู้หญิงข้ามเพศไม่ควรมากระทบต่อสิทธิของผู้หญิงที่เกิดมาเป็นเพศหญิงโดยกำเนิด การชนะคดีในครั้งนี้ ได้ปกป้องสิทธิของผู้หญิงและเด็กหญิงทั่วสหราชอาณาจักร พร้อมกับแสดงว่าตนนั้นเกิดความภูมิใจอย่างยิ่งต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวของ For Women Scotland ที่มีความกล้าหาญและไม่ยอมแพ้กับการต่อสู้ในคดีในกระบวนการยุติธรรมมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ ศาลเน้นย้ำต่อไปอีกว่า คำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์นี้ไม่ได้ก่อให้เกิดชัยชนะแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากกลุ่มสิทธิสตรีต่าง ๆ ได้ออกมาเฉลิมฉลองชัยชนะบริเวณหน้าศาล และได้มีการเปิดแชมเปญฉลองบริเวณหน้าศาล พร้อมกับร้องเพลง
“สิทธิสตรีคือสิทธิมนุษยชน”
โดย Susan Smith ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม For Women Scotland ที่ได้ยื่นฟ้องคีดีดังกล่าวนั้น กล่าวว่า ทุกคนรับรู้ว่าเพศคืออะไรและไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเพศได้ซึ่งเป็นสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน โดยพวกเรานั้นถูกลากเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกคนพยายามปฏิเสธวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และ Maya Forstater จากกลุ่ม Sex Matters กล่าวว่า คำตัดสินของศาลเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชายและหญิงคือความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่มาจากเอกสาร โดยเธอนั้นพลาดโอกาสการเข้าทำงาน เพราะเธอได้วิจารณ์ต่อแนวความคิดเกี่ยวกับเพศทางออนไลน์ ซึ่งศาลแรงงานเคยได้มีคำตัดสินว่าเธอนั้นตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ
รัฐบาลของสหราชอาณาจักรได้ออกมาแสดงความเห็นในเชิงบวกต่อคำตัดสินดังกล่าว โดยระบุว่าจะช่วยเสริมสร้างความชัดเจนและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้หญิง แต่พื้นที่สำหรับเพศใดเพศหนึ่ง (Single-sex spaces) ตามกฎหมายนั้นจะยังคงได้รับการคุ้มครองเสมอ สำหรับรัฐบาลสก็อตแลนด์ แม้จะมีอำนาจปกครองเพียงบางส่วนในสหราชอาณาจักรก็ได้ออกมายอมรับคำตัดสินดังกล่าวเช่นกัน นายกรัฐมนตรี John Swinney กล่าวว่าจะพิจารณาประเด็นที่จะมีผลกระทบตามมาจากคำตัดสินในครั้งนี้และการคุ้มครองสิทธิของทุกคนนั้นจะเป็นเรื่องหลักในการดำเนินงานของรัฐบาล
คำตัดสินดังกล่าวนี้ได้สร้างความชัดเจนมากยิ่งขึ้นต่อความแตกแยกของกลุ่มการเมืองของบางประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการออกกฎหมายห้ามการดูแลเพื่อยืนยันเพศสภาพ (Gender-affirming care) สำหรับผู้เยาว์ การห้ามหญิงข้ามเพศเข้าร่วมแข่งขันกีฬาและการจำกัดการใช้ห้องน้ำสาธารณะของบุคคลข้ามเพศ ภายใต้การบริหารของพรรครีพับลิกัน อีกทั้ง เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ลงนามคำสั่งต่างๆ โดยกำหนดให้เพศนั้นมีเพียงชายและหญิงเท่านั้น มีการปลดบุคคลข้ามเพศออกจากกองทัพ ห้ามการใช้จ่ายงบประมาณต่อการดูแลเพื่อยืนยันเพศสภาพสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า ๑๙ ปี และห้ามการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาของบุคคลข้ามเพศในระดับประเทศ โดยการกระทำเหล่านี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการทางศาล ด้วยเหตุนี้ คำตัดสินดังกล่าวถูกประณามโดยกลุ่มคนข้ามเพศว่าพวกเขานั้นรู้สึกผิดหวังและคำตัดสินนี้อาจนำไปสู่การทำลายความคุ้มครองทางกฎหมายต่อคนข้ามเพศที่ได้รับการรับรองไว้ในกฎหมาย
Gender Recognition Act ปี ค.ศ. ๒๐๐๔ ซึ่ง Maggie Chapman สมาชิกพรรคกรีนในรัฐสภาสก็อตแลนด์ มีความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า คนข้ามเพศซึ่งได้ถูกกลั่นแกล้งและตกเป็นเป้าหมายของนักการเมืองและสื่อกระแสหลักมาอย่างยาวนานจนเกินไป ส่งผลให้เกิดการโจมตีต่อสิทธิที่มีและความพยายามที่จะลบล้างการมีตัวตนของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งต่อหลักสิทธิมนุษยชนและสร้างความเสียหายต่อกลุ่มบุคคลที่ถูกกดขี่มากที่สุดภายในสังคมอีกด้วย
นอกจากนี้ องค์กรระหว่างประเทศ
Amnesty ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า นโยบายการห้ามหญิงข้ามเพศใช้บริการในเรื่องเฉพาะอย่าง (Single-sex services) ไม่ใช่วิธีการที่ได้สัดส่วนในการบรรลุเป้าหมายอย่างชอบธรรมซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการตัดสิทธิบุคคลข้ามเพศจากการได้รับการคุ้มครองในเรื่องการเลือกปฏิบัติตามเพศพร้อมทั้งยื่นเอกสารต่อศาลเพื่อแสดงความกังวลต่อสถานการณ์สิทธิของบุคคลข้ามเพศที่กำลังถดถอย ทั้งภายในสหราชอาณาจักรและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ข่าวประจำวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๘
แปลและเรียบเรียงจาก
https://apnews.com/article/uk-supreme-court-decision-definition-woman-scotland-1a61bea0c26c13cf34864f696a1a5f0c\
*บทความในเว็บไซต์เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียนเว็บไซต์
LawforASEAN
/ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย
© 2025 Office of the Council of State.